นาฬิกาทรายชีวิต
หากผู้อ่านอยากดูหนังหนักๆที่แฝงไปด้วยแง่คิด ทุกฉากและทุกคำพูดในหนังส่งผลต่อชีวิตไม่ด้านก็ด้านหนึ่ง ผู้เขียนขอแนะนำซิรี่ส์เรื่อง “24” ของค่ายทเวนตี้เซนจูรี่ฟ็อกซ์
นัยยะที่ซีรี่ส์เรื่อง 24 แฝงมาให้ผู้ชมได้เสพผ่านการเดินเรื่องแบบ Real Time ทำให้หลายคนหลงรักซีรี่ส์เรื่องนี้และตัวละครผู้รักชาติอย่างแจ็ค บาวเออร์ได้ไม่ยาก
ช่วงซีซั่นแรกๆ ในตอนเริ่มเรื่องจะมีคำพูดของบาวเออร์ (รับบทโดยคีเฟอร์ ซัทเธอร์แลนด์) เกริ่นบอกว่า “วันนี้เป็นวันที่ยาวนานที่สุดของชีวิตผม” ซึ่งนั่นหมายถึง 24 ชั่วโมงต่อจากนั้น เขาจะพาผู้ชมเกาะติดไปกับภารกิจหักเหลี่ยมเฉือนคมเพื่อหยุดยั้งผู้ก่อการร้ายที่หมายจะทำลายประเทศชาติและคนที่เขารักให้ทันเวลา
ด้านหนึ่ง ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้เขียนบท ที่สามารถสร้างพล็อตที่มีเสน่ห์ในตัวเองแบบนี้ออกมาได้ หลักการง่ายๆที่ซีรี่ส์เรื่องนี้ใช้จนได้รับความนิยมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือเหตุการณ์ 1 วันของบาวเออร์กลับสามารถสร้างได้ 24 ตอน หรือหนึ่งซีซั่นพอดิบพอดี
อันที่จริงเวลาที่คนเราเหนื่อยมากๆก็ต้องพัก การพักผ่อนหลับนอนเป็นหนึ่งในวัฏจักรของการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว เมื่อเอนหลังลงนอนแล้วหลับตา ทุกอย่างก็จบ ชาร์จแบทให้เต็มที่เพื่อรอต่อสู้กับปัญหาของวันใหม่ แต่ถ้าคนๆนั้นยังไม่นอน หนึ่งวันหรือ 24 ชั่วโมงของคนนั้นก็จะยังไม่จบ ซึ่งนั้นทำให้คำนิยามเรื่องเวลาที่ว่าคนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันนั้น เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้กับคนๆนั้นครับ เพราะเวลาของเขา (ในการจัดการกับปัญหาของเขา) มีมากกว่า 24 ชั่วโมง
ผู้อ่านอาจรู้สึกแย้งในใจว่า ต่อให้เราไม่นอนตลอด 24 ชั่วโมง เวลาของเราก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง แต่ในมุมที่ผู้เขียนจะแชร์เป็นการมองจากมุมของคนที่ต้องทำภารกิจอะไรบางอย่างให้สำเร็จในเวลาที่กำหนดมากกว่าครับ อย่างเช่นได้รับมอบหมายให้ทำโปรเจ็คเสนอผู้ใหญ่ ต้องมีการเตรียมข้อมูลทำเพาเวอร์พ้อยท์อะไรแบบนั้นครับ ซึ่งต้องทำเสร็จภายในเวลาที่ได้รับมา เมื่อเจอความรู้สึกแบบนี้ ทุกคนก็อยากจะใช้เวลาทุกวินาทีทำให้ดีที่สุดจริงมั้ยครับ
สมัยที่ผู้เขียนยังทำงานเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทแห่งหนึ่ง ก็มีวันที่ยาวนานเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง กิจกรรมนั้นคือการทำ week ครับ
การทำ week ก็คือการที่ตัวแทนต้องมีเบี้ยประกันมาส่งบริษัทให้ได้ภายในวันศุกร์ของแต่ละสัปดาห์ ซึ่งจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ตัวแทนในบริษัททำงานอย่างมีวินัยเพราะด้วยเส้นตายการส่งงานก็ดี การนัดหมายที่ยากเย็นกับลูกค้าบางคนก็ดี ทำให้ผู้เขียนต้องเก็บเรื่องพักผ่อนเอาไว้ก่อน มุ่งเน้นที่การทำงานให้เสร็จก่อน ซึ่งก็ถูกอาจารย์ตำหนิอยู่ไม่ใช่น้อย นั่นเพราะถ้าเราบริหารเวลาเป็นมืออาชีพมากพอ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบที่วิ่งวุ่นแข่งกับเวลาแบบนี้
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนและสัตว์มี 4 อย่างที่เหมือนกัน นั่นคือ 1)ความกลัว 2)ความหิว 3)ความง่วง และ 4)การเสพกาม ซึ่งทั้ง 4 อย่างนี้เมื่อมันสะสมเรื้อรังถึงสูงสุด ล้วนทำลายพวกเราด้วยกันทั้งสิ้น เช่น ถ้าคนเราอดอาหารและน้ำหลายๆวัน แขนขาไร้เรี่ยวแรง เมื่อร่างกายดึงเอาอาหารเก่ามาย่อยจนหมดแล้ว ก็จะเริ่มกัดกร่อนเอาไขมันที่ดีมาใช้หล่อเลี้ยงร่างกายจนที่สุดผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก หากมีอาหารที่คนเพิ่งทิ้งลงไปในถังขยะใหม่ๆ และเราเห็นพอดี เชื่อเถอะว่าตอนนั้นเราต้องเลือกที่จะกินเพื่อประทังชีวิต แม้ในยามปกติเราไม่เคยมีความคิดจะทำเช่นนั้นก็ตาม
ความง่วงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่บั่นทอนศักยภาพในการทำงาน เพราะขณะที่เราง่วงมากๆ เราจะไม่มีกะจิตกะใจในการทำงาน อย่างหน่วย SEAL ที่เป็นหน่วยรบที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุด ก็ยังต้องผ่านสัปดาห์นรก ซึ่งเป็นการฝึกต่อเนื่องแบบไม่หลับไม่นอนเลยตลอด 120 ชั่วโมงด้วยกันทุกคน
ที่ต้องฝึกเช่นนั้นก็เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับการอดนอน เมื่อเจอแรงกดดันจากการรบหรือเจอเหตุการณ์ที่คอขาดบาดตาย จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด เพราะสติไม่ถูกความง่วงเข้าครอบงำ
ทุกขณะจิต เราต้องตัดสินใจที่จะชนะกิเลสตนเองไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งในแต่ละวัน เช่นอยากกินไก่ทอดร้านนั้นจังเลย ทั้งที่เพิ่งทานอาหารกลางวันมื้อหนักมากับเพื่อน หลังจากจิตต่อสู้กับกิเลสอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเราก็ตัดสินใจซื้อ
แต่ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องผลของงานที่อาจมีใครบางคนเสียประโยชน์เพราะการตัดสินใจ (ที่เห็นแก่ตัว) ของเรา ถ้าเราจิตใจไม่ฝักใฝ่ฝ่ายดีอย่างเข้มแข็ง เช่นคิดว่าเพื่อคนนั้นก็คงโดนตำหนิบ้าง แต่ไม่หนักหนาอะไรหรอก เราก็จะเลือกวิธีที่เราได้ประโยชน์แต่คนอื่นเสียประโยชน์แทน
ส่วนในแง่มุมที่ผู้เขียนได้ก็จะเน้นหนักไปในสองเรื่องนี้เสียเป็นส่วนใหญ่นั่นคือ 1) เรื่องของการบริหารจัดการเวลาและ 2) เรื่องการตัดสินใจในเวลาที่จำกัด
ถ้าจะวัดคุณภาพของงานที่ทำกันจริงๆแล้ว สองสิ่งนี้เกี่ยวพันกันชนิดที่แยกออกจากกันไม่ได้เลยทีเดียวครับ
ถ้าเรามีเวลาจำกัดในการต้องทำบางสิ่งให้สำเร็จ การรู้ว่าต้องทำสิ่งใดก่อนสิ่งใดหลังและลงมือทำตามนั้นให้สำเร็จไปทีละขั้นตอน เรียกว่าทำงานตามลำดับความสำคัญครับ และเมื่อได้ลำดับความสำคัญของงานมาแล้ว ก็ต้องลงมือทำให้สำเร็จตามลำดับภายในเวลาที่กำหนดให้ได้ แล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จเองเหมือนที่ผู้บริหารท่านหนึ่งเคยสอนเอาไว้ว่า “ให้สะสมความสำเร็จเล็กๆน้อยในชีวิตเอาไว้เถอะ เมื่อมันมากเข้า มันก็จะกลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เอง”
ขอจบเอนทรี่นี้ด้วยมุมมองเรื่องเวลาอีกแง่มุมหนึ่ง
ที่โต๊ะทำงานของผู้เขียนจะมีนาฬิกาทรายตั้งอยู่ ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่ตั้งเอาไว้เป็นเครื่องคอยเตือนสติว่า เมื่อทรายหล่นลงมาข้างล่างมากขึ้นเท่าไหร่ ทรายข้างบนก็เหลือน้อยลงเท่านั้น เวลาในชีวิตของเรามากขึ้นเท่าไหร่ เวลาของพ่อแม่ที่เรารักก็เหลือน้อยลงเท่านั้น ในวันนี้เราได้ทำสิ่งใดตอบแทนความรักที่ท่านมีต่อเราแล้วหรือยัง?”
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแม่ หากลูกคนไหนยังไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปหาท่าน ก็ควรเริ่มวางแผนการเดินทางได้แล้ว
เวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันที่เราต่อสู้ดิ้นรนห้ำหั่นกับหน้าที่การงาน ด้วยหวังว่าความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่เราได้รับ จะส่งผลเป็นความสุขให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ห่างไกลเราด้วย ผู้เขียนของบอกว่าแท้จริงแล้วสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่มีความสุขใดจะมีค่าเท่ากับการที่ลูกๆ กอดและหอมแก้มท่านพร้อมบอกกับพวกท่านว่าคุณผู้อ่านรักพวกท่านมากแค่ไหนอีกแล้ว
นั่นเพราะ 24 ชั่วโมงของคนที่คิดถึง ช่วงเวลาจะยาวนานกว่า 24 ชั่วโมงของคนที่ถูกคิดถึงมากมายครับ
ในทุกๆ 24 ชั่วโมงต่อจากนี้
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกับการทำให้คนที่รักคุณหายคิดถึงนะครับ
...แมวเหมียวสิบชีวิต...